วันพุธที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ




7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ

 
 
 

พีระมิดคูฟู
 
พีระมิดคูฟู หรือ พีระมิดคีออปส์ นิยมเรียกกันโดยทั่วไปว่า มหาพีระมิดแห่งกีซา (The Great Pyramid of Giza) เป็น พีระมิดในประเทศอียิปต์ที่มีความใหญ่โตและเก่าแก่ที่สุด ในหมู่พีระมิดทั้งสามแห่งกีซา เชื่อกันว่าสร้างขึ้นในสมัย ฟาโรห์คูฟู (Khufu) แห่ง ราชวงศ์ที่ 4 ซึ่งปกครองอียิปต์โบราณ เมื่อประมาณ 2,600 ปีก่อนคริสตกาล หรือกว่า 4,600 ปีมาแล้ว เพื่อใช้เป็นที่เก็บรักษาพระศพ ไว้รอการกลับคืนชีพ ตามความเชื่อของชาวอียิปต์ในยุคนั้น มหาพีระมิดนี้ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก และเป็นหนึ่งเดียว ในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ยุคโบราณ ที่ยังคงอยู่มาจนถึงปัจจุบัน





สวนลอยบาบิโลน
สวนลอยบาบิโลน (Hanging Gardens of Babylon) จัดเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก ตั้งอยู่บนแม่น้ำยูเฟรติส ประเทศอิรักในปัจจุบัน สร้างโดยกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ที่ 3 แห่งกรุงบาบิโลเนีย สร้างให้แก่มเหสีของพระองค์ชื่อพระนางเซมีรามีส สร้างขึ้นเมื่อ 600 ปีก่อนคริสต์ศักราช สุงประมาณ 75 ฟุต กินพื้นที่ 400 ตารางฟุต ระเบียงทุกชั้นได้รับการตกแต่งด้วยไม้ดอก ไม้ประดับ ไม้ยืนพุ่มชนิดต่างๆ มีระบบชลประทานชักน้ำจากแม่น้ำไทกิสไปทำเป็นน้ำตกและนำไปเลี้ยงต้นไม้ตลอดปี สวนนี้ได้พังทลายลงจากเหตุแผ่นดินไหวเมื่อหลังศตวรรษที่ 2 ก่อนคริสต์ศักราช

 

เทวรูปซูสที่โอลิมเปีย 

เทวรูปซูสที่โอลิมเปีย (Statue of Zeus at Olympia) เป็นเทวรูปของซูส  ซึ่งเป็นประธานเทวสภา
โอลิมปัส สร้างจากไม้ ประดับด้วยทองคำและงาช้างลักษณะประทับนั่ง อยู่บนฐานกว้าง 10 เมตรครึ่ง ตัวเทวรูปสูงประมาณ 12 เมตร (43 ฟุต) พระหัตถ์ซ้ายถือคทา พระหัตถ์ขวารองรับไนกี้ เทพีแห่งชัยชนะ มีเครื่องประดับด้วยทองคำล้วน ออกแบบก่อสร้างในศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสต์ศักราช โดย ฟิดิแอส ประติมากรชาวเอเธนส์ เทวรูปนี้ประดิษฐานอยู่ในวิหารซูส ที่โอลิมเปียประเทศกรีซ เทวรูปซูสที่โอลิมเปีย จัดเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก ถือเป็นเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ เช่นเดียวกับ ประภาคารฟาโรส หรือวิหารอาร์เทอมีสและถือเป็นสิ่งร่วมสมัยกับวิหารพาร์เธนอน  เทวรูปนี้ถูกทำลายลงเพราะอัคคีภัยในปี ค.ศ. 475 ปัจจุบันนี้ไม่เหลือซากชิ้นส่วนใด ๆ หลงเหลืออยู่เลย


มหาวิหารอาร์เทมีส 
มหาวิหารอาร์เทมีส ทำจากหินอ่อนและมีความสวยงามมาก อยู่ที่เมืองเอเฟซุส ประเทศตุรกี มหาวิหารอาร์เทมีส สร้างเมื่อ 560 ปีก่อนคริสต์ศักราชเพื่อถวายแด่เทพีอาร์เทมีส ด้วยความสนับสนุนจากกษัตริย์โครเอซัสแห่งลิเดีย (King Croesus of Lydia) สร้างโดย เชอร์ซิฟรอน สถาปนิกผู้เก่งกาจ มหาวิหารมีเนื้อที่ 54,720 ตารางฟุต ตัวอาคารกว้าง 400 ฟุต สร้างด้วยหินอ่อนทั้งหมดยกเว้นหลังคา ใช้เสาหินอ่อนสูง 60 ฟุต จำนวน 127 ต้น ภายในมหาวิหารมีรูปสลักเทพีอาร์เทมีส ซึ่งสลักจากหินอ่อนประดับด้วยงาช้างและทอง  แม้จะใช้เวลาก่อสร้างยาวนานแต่มหาวิหารอาร์เทมิสก็เหลือเพียงธุลี เมื่อ 356 ปีก่อนคริสต์ศักราช โดยฝีมือของฮีโรสตราตัส ชายผู้อยากให้ชื่อของตัวเองจารึกอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์ แม้จะเป็นเรื่องฉาวก็ตาม โดยวันที่มหาวิหารถูกเผาตรงกับวันประสูติของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชแห่งมาเซโดเนียพอดี ร่ำลือว่าเหตุที่เทพีอาร์เทมิสไม่สามารถปกป้องมหาวิหารให้รอดพ้นจากกองเพลิง เพราะองค์เทพีมีภารกิจสำคัญต้องไปจัดเตรียมการประสูติของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์พอดี  หลังจากนั้นมหาวิหารเทพีอาร์เทมิสก็ได้รับการบูรณะและปรับปรุงจนมีขนาดใหญ่กว่าเดิม ก็ถูกชาวกอธทำลายเมื่อปี ค.ศ. 262 แต่มหาวิหารก็ยังได้รับการบูรณะอีกครั้ง แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่อาจหลุดพ้นจุดจบได้ โดยในปี ค.ศ. 401 ชาวเมืองได้เปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์ แทนการนับถือเทพเจ้ากรีก นักบุญจอห์น คริสซอสตอม อัครบิดรแห่งคอนสแตนติโนเปิล และนักปราชญ์แห่งคริสตจักรคนสำคัญของคริสต์ศาสนา จึงออกคำสั่งให้รื้อถอนเสาหินและหินก้อนใหญ่เพื่อนำไปสร้างวิหารเซนต์โซเฟียที่เมืองคอนสแตนติโนเปิลกับโบสถ์เซนต์จอห์นที่เมืองเซลจุค ใกล้เมืองเอเฟซุส




สุสานแห่งฮาลิคาร์นัสเซิส
 
สุสานแห่งฮาลิคาร์นัสเซิส หรือ สุสานแห่งโมโซลูส (The Mausoleum at Halicarnassus, Tomb of Mausolus) เป็นสุสานขนาดใหญ่ของกษัตริย์โมโซลูสแห่งลิเชีย ในเอเชียไมเนอร์ จัดเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก เป็นเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณสุสานแห่งฮาลิคาร์นัสเซิส ตั้งอยู่ที่ฮาลิคาร์นัสเซิส ประเทศตุรกี ในปัจจุบัน สร้างขึ้นโดยราชินี อาเตมีสเซีย หลังการสวรรคตของพระสวามี สร้างขึ้นระหว่าง 353-350 ปีก่อนคริสต์ศักราช สร้างขึ้นมาจากหินอ่อนในระหว่างปี ค.ศ. 156-190 ในรูปแบบสถาปัตยกรรมกรีกโบราณ มีบันทึกไว้ว่า มีขนาดสูงถึง 140 ฟุต ฐานโดยรอบยาวถึง 460 ฟุต บนยอดสุดเป็นพื้นเหลี่ยมเล็กกว่าฐานล่าง ได้ปั้นเป็นรูปราชรถและม้า 1 ชุด กำลังวิ่ง และมีกษัตริย์และพระมเหสีประทับยืนอยู่บนราชรถม้า ประกอบด้วยลวดลายสวยงามมาก  สุสานแห่งฮาลิคาร์นัสเซิส พังทลายลงด้วยเหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในคริสต์ศตวรรษที่ 12-13 ปัจจุบันจึงเหลือแต่เพียงซากชิ้นส่วน และชิ้นส่วนบางอย่างถูกเก็บรักษาไว้ที่ บริติช มิวเซียม ในประเทศอังกฤษ


มหารูปแห่งโรดส์

มหารูปแห่งโรดส์ (Colossus of Rhodes) เป็นเทวรูปขนาดใหญ่ของเทพเฮลิออส หรือ อพอลโล เป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก จัดอยู่ในยุคเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ ร่วมสมัยกับประภาคารฟาโรสแห่งอเล็กซานเดรียมหารูปแห่งโรดส์สร้างมาจากสำริด เป็นเทวรูปของสุริยเทพอพอลโล ซึ่งเป็นหนึ่งในเทวสภาโอลิมปัส มีความสูงประมาณ 100 ฟุต (30 เมตร) มือขวาถือประทีป ประดิษฐานบนฐานทั้งสองข้างของปากอ่าวทางเข้าท่าเรือของเกาะโรดส์ ในทะเลอีเจียน ยืนถ่างขาคร่อมปากอ่าวให้เรือลอดไปมาได้มหารูปนี้สร้างขึ้นโดย ชาเรสแห่งลินดอส ซึ่งเป็นประติมากรชาวกรีก ในราว 280 ปี
ก่อนคริสตกาล ใช้เวลาสร้างประมาณ 12 ปี มีอายุยืนอยู่ได้ประมาณ 60 ปี ก่อนจะพังทลายลงด้วยแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ เมื่อ 226 ปี ก่อนคริสตกาล ซากชิ้นส่วนของมหารูปได้ถูกปล่อยปละละเลยไม่มีใครดูแล จนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 10 ซากที่เหลืออยู่ถูกขายให้แก่ชาวเมืองซาราเซน ไปทำอาวุธในการทำสงครามครูเสดจนหมด จนถึงปัจจุบันไม่มีเหลือซากของมหารูปนี้หลงเหลืออยู่แล้ว



 

ประภาคารฟาโรสแห่งอเล็กซานเดรีย
 
ประภาคารฟาโรสแห่งอเล็กซานเดรีย หรือ ประภาคารแห่งอเล็กซานเดรีย                       (Pharos of Alexandria, Lighthouse of Alexandria, คำว่าฟาโรสในภาษากรีก (Φάρος) แปลว่าประภาคาร) เป็นประภาคารโบราณซึ่งจัดให้เป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก ตั้งอยู่บนเกาะฟาโรส
 เมืองอเล็กซานเดรีย ริมฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน สร้างประมาณ 270 ปีก่อนคริสต์ศักราช ในรัชสมัยพระเจ้าปโตเลมีที่ 1 โดยสถาปนิกชื่อ โซสเตรโตส ตัวประคาภารมีความสูงเท่าใดไม่แน่ชัด แต่อยู่ในระหว่าง 200-600 ฟุต (ขนาดพอ ๆ กับ เทพีเสรีภาพ) สร้างด้วยหินอ่อนแกะสลัก มีตะเกียงขนาดใหญ่บนยอด นักประวัติศาสตร์สันนิษฐานว่าในเวลากลางวันจะปล่อยควัน ในเวลากลางคืนจะเป็นแสงไฟสว่างที่เห็นได้จากระยะไกล ซึ่งยังไม่ทราบว่าใช้วิธีใดในการจุดไฟและส่องแสง บ้างก็สันนิษฐานว่าใช้กระจกในการส่องแสง บ้างก็เชื่อว่า สามารถส่องแสงได้ถึง 4 ทาง แต่บางส่วนก็เชื่อว่า ส่องแสงได้เพียงแค่ 2 ทางเท่านั้น ประภาคารฟาโรสแห่งอเล็กซานเดรีย มีอายุอยู่ได้ยาวนานถึง 1,600 ปี จนกระทั่งในประมาณศตวรรษที่ 13-14 เกิดแผ่นดินไหวทำให้ประภาคารพังลงมา ในปี ค.ศ. 1994 นักโบราณคดีได้ดำน้ำสำรวจบริเวณปากอ่าวอเล็กซานเดรีย พบหลักฐานของสิ่งที่เชื่อว่าเป็นซากชิ้นส่วนของประภาคารฟาโรสแห่งอเล็กซานเดรีย ซึ่งบางส่วนเป็นหินที่หนักถึง 70 ตันและเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ