วันพุธที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ




7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ

 
 
 

พีระมิดคูฟู
 
พีระมิดคูฟู หรือ พีระมิดคีออปส์ นิยมเรียกกันโดยทั่วไปว่า มหาพีระมิดแห่งกีซา (The Great Pyramid of Giza) เป็น พีระมิดในประเทศอียิปต์ที่มีความใหญ่โตและเก่าแก่ที่สุด ในหมู่พีระมิดทั้งสามแห่งกีซา เชื่อกันว่าสร้างขึ้นในสมัย ฟาโรห์คูฟู (Khufu) แห่ง ราชวงศ์ที่ 4 ซึ่งปกครองอียิปต์โบราณ เมื่อประมาณ 2,600 ปีก่อนคริสตกาล หรือกว่า 4,600 ปีมาแล้ว เพื่อใช้เป็นที่เก็บรักษาพระศพ ไว้รอการกลับคืนชีพ ตามความเชื่อของชาวอียิปต์ในยุคนั้น มหาพีระมิดนี้ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก และเป็นหนึ่งเดียว ในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ยุคโบราณ ที่ยังคงอยู่มาจนถึงปัจจุบัน





สวนลอยบาบิโลน
สวนลอยบาบิโลน (Hanging Gardens of Babylon) จัดเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก ตั้งอยู่บนแม่น้ำยูเฟรติส ประเทศอิรักในปัจจุบัน สร้างโดยกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ที่ 3 แห่งกรุงบาบิโลเนีย สร้างให้แก่มเหสีของพระองค์ชื่อพระนางเซมีรามีส สร้างขึ้นเมื่อ 600 ปีก่อนคริสต์ศักราช สุงประมาณ 75 ฟุต กินพื้นที่ 400 ตารางฟุต ระเบียงทุกชั้นได้รับการตกแต่งด้วยไม้ดอก ไม้ประดับ ไม้ยืนพุ่มชนิดต่างๆ มีระบบชลประทานชักน้ำจากแม่น้ำไทกิสไปทำเป็นน้ำตกและนำไปเลี้ยงต้นไม้ตลอดปี สวนนี้ได้พังทลายลงจากเหตุแผ่นดินไหวเมื่อหลังศตวรรษที่ 2 ก่อนคริสต์ศักราช

 

เทวรูปซูสที่โอลิมเปีย 

เทวรูปซูสที่โอลิมเปีย (Statue of Zeus at Olympia) เป็นเทวรูปของซูส  ซึ่งเป็นประธานเทวสภา
โอลิมปัส สร้างจากไม้ ประดับด้วยทองคำและงาช้างลักษณะประทับนั่ง อยู่บนฐานกว้าง 10 เมตรครึ่ง ตัวเทวรูปสูงประมาณ 12 เมตร (43 ฟุต) พระหัตถ์ซ้ายถือคทา พระหัตถ์ขวารองรับไนกี้ เทพีแห่งชัยชนะ มีเครื่องประดับด้วยทองคำล้วน ออกแบบก่อสร้างในศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสต์ศักราช โดย ฟิดิแอส ประติมากรชาวเอเธนส์ เทวรูปนี้ประดิษฐานอยู่ในวิหารซูส ที่โอลิมเปียประเทศกรีซ เทวรูปซูสที่โอลิมเปีย จัดเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก ถือเป็นเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ เช่นเดียวกับ ประภาคารฟาโรส หรือวิหารอาร์เทอมีสและถือเป็นสิ่งร่วมสมัยกับวิหารพาร์เธนอน  เทวรูปนี้ถูกทำลายลงเพราะอัคคีภัยในปี ค.ศ. 475 ปัจจุบันนี้ไม่เหลือซากชิ้นส่วนใด ๆ หลงเหลืออยู่เลย


มหาวิหารอาร์เทมีส 
มหาวิหารอาร์เทมีส ทำจากหินอ่อนและมีความสวยงามมาก อยู่ที่เมืองเอเฟซุส ประเทศตุรกี มหาวิหารอาร์เทมีส สร้างเมื่อ 560 ปีก่อนคริสต์ศักราชเพื่อถวายแด่เทพีอาร์เทมีส ด้วยความสนับสนุนจากกษัตริย์โครเอซัสแห่งลิเดีย (King Croesus of Lydia) สร้างโดย เชอร์ซิฟรอน สถาปนิกผู้เก่งกาจ มหาวิหารมีเนื้อที่ 54,720 ตารางฟุต ตัวอาคารกว้าง 400 ฟุต สร้างด้วยหินอ่อนทั้งหมดยกเว้นหลังคา ใช้เสาหินอ่อนสูง 60 ฟุต จำนวน 127 ต้น ภายในมหาวิหารมีรูปสลักเทพีอาร์เทมีส ซึ่งสลักจากหินอ่อนประดับด้วยงาช้างและทอง  แม้จะใช้เวลาก่อสร้างยาวนานแต่มหาวิหารอาร์เทมิสก็เหลือเพียงธุลี เมื่อ 356 ปีก่อนคริสต์ศักราช โดยฝีมือของฮีโรสตราตัส ชายผู้อยากให้ชื่อของตัวเองจารึกอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์ แม้จะเป็นเรื่องฉาวก็ตาม โดยวันที่มหาวิหารถูกเผาตรงกับวันประสูติของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชแห่งมาเซโดเนียพอดี ร่ำลือว่าเหตุที่เทพีอาร์เทมิสไม่สามารถปกป้องมหาวิหารให้รอดพ้นจากกองเพลิง เพราะองค์เทพีมีภารกิจสำคัญต้องไปจัดเตรียมการประสูติของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์พอดี  หลังจากนั้นมหาวิหารเทพีอาร์เทมิสก็ได้รับการบูรณะและปรับปรุงจนมีขนาดใหญ่กว่าเดิม ก็ถูกชาวกอธทำลายเมื่อปี ค.ศ. 262 แต่มหาวิหารก็ยังได้รับการบูรณะอีกครั้ง แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่อาจหลุดพ้นจุดจบได้ โดยในปี ค.ศ. 401 ชาวเมืองได้เปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์ แทนการนับถือเทพเจ้ากรีก นักบุญจอห์น คริสซอสตอม อัครบิดรแห่งคอนสแตนติโนเปิล และนักปราชญ์แห่งคริสตจักรคนสำคัญของคริสต์ศาสนา จึงออกคำสั่งให้รื้อถอนเสาหินและหินก้อนใหญ่เพื่อนำไปสร้างวิหารเซนต์โซเฟียที่เมืองคอนสแตนติโนเปิลกับโบสถ์เซนต์จอห์นที่เมืองเซลจุค ใกล้เมืองเอเฟซุส




สุสานแห่งฮาลิคาร์นัสเซิส
 
สุสานแห่งฮาลิคาร์นัสเซิส หรือ สุสานแห่งโมโซลูส (The Mausoleum at Halicarnassus, Tomb of Mausolus) เป็นสุสานขนาดใหญ่ของกษัตริย์โมโซลูสแห่งลิเชีย ในเอเชียไมเนอร์ จัดเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก เป็นเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณสุสานแห่งฮาลิคาร์นัสเซิส ตั้งอยู่ที่ฮาลิคาร์นัสเซิส ประเทศตุรกี ในปัจจุบัน สร้างขึ้นโดยราชินี อาเตมีสเซีย หลังการสวรรคตของพระสวามี สร้างขึ้นระหว่าง 353-350 ปีก่อนคริสต์ศักราช สร้างขึ้นมาจากหินอ่อนในระหว่างปี ค.ศ. 156-190 ในรูปแบบสถาปัตยกรรมกรีกโบราณ มีบันทึกไว้ว่า มีขนาดสูงถึง 140 ฟุต ฐานโดยรอบยาวถึง 460 ฟุต บนยอดสุดเป็นพื้นเหลี่ยมเล็กกว่าฐานล่าง ได้ปั้นเป็นรูปราชรถและม้า 1 ชุด กำลังวิ่ง และมีกษัตริย์และพระมเหสีประทับยืนอยู่บนราชรถม้า ประกอบด้วยลวดลายสวยงามมาก  สุสานแห่งฮาลิคาร์นัสเซิส พังทลายลงด้วยเหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในคริสต์ศตวรรษที่ 12-13 ปัจจุบันจึงเหลือแต่เพียงซากชิ้นส่วน และชิ้นส่วนบางอย่างถูกเก็บรักษาไว้ที่ บริติช มิวเซียม ในประเทศอังกฤษ


มหารูปแห่งโรดส์

มหารูปแห่งโรดส์ (Colossus of Rhodes) เป็นเทวรูปขนาดใหญ่ของเทพเฮลิออส หรือ อพอลโล เป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก จัดอยู่ในยุคเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ ร่วมสมัยกับประภาคารฟาโรสแห่งอเล็กซานเดรียมหารูปแห่งโรดส์สร้างมาจากสำริด เป็นเทวรูปของสุริยเทพอพอลโล ซึ่งเป็นหนึ่งในเทวสภาโอลิมปัส มีความสูงประมาณ 100 ฟุต (30 เมตร) มือขวาถือประทีป ประดิษฐานบนฐานทั้งสองข้างของปากอ่าวทางเข้าท่าเรือของเกาะโรดส์ ในทะเลอีเจียน ยืนถ่างขาคร่อมปากอ่าวให้เรือลอดไปมาได้มหารูปนี้สร้างขึ้นโดย ชาเรสแห่งลินดอส ซึ่งเป็นประติมากรชาวกรีก ในราว 280 ปี
ก่อนคริสตกาล ใช้เวลาสร้างประมาณ 12 ปี มีอายุยืนอยู่ได้ประมาณ 60 ปี ก่อนจะพังทลายลงด้วยแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ เมื่อ 226 ปี ก่อนคริสตกาล ซากชิ้นส่วนของมหารูปได้ถูกปล่อยปละละเลยไม่มีใครดูแล จนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 10 ซากที่เหลืออยู่ถูกขายให้แก่ชาวเมืองซาราเซน ไปทำอาวุธในการทำสงครามครูเสดจนหมด จนถึงปัจจุบันไม่มีเหลือซากของมหารูปนี้หลงเหลืออยู่แล้ว



 

ประภาคารฟาโรสแห่งอเล็กซานเดรีย
 
ประภาคารฟาโรสแห่งอเล็กซานเดรีย หรือ ประภาคารแห่งอเล็กซานเดรีย                       (Pharos of Alexandria, Lighthouse of Alexandria, คำว่าฟาโรสในภาษากรีก (Φάρος) แปลว่าประภาคาร) เป็นประภาคารโบราณซึ่งจัดให้เป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก ตั้งอยู่บนเกาะฟาโรส
 เมืองอเล็กซานเดรีย ริมฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน สร้างประมาณ 270 ปีก่อนคริสต์ศักราช ในรัชสมัยพระเจ้าปโตเลมีที่ 1 โดยสถาปนิกชื่อ โซสเตรโตส ตัวประคาภารมีความสูงเท่าใดไม่แน่ชัด แต่อยู่ในระหว่าง 200-600 ฟุต (ขนาดพอ ๆ กับ เทพีเสรีภาพ) สร้างด้วยหินอ่อนแกะสลัก มีตะเกียงขนาดใหญ่บนยอด นักประวัติศาสตร์สันนิษฐานว่าในเวลากลางวันจะปล่อยควัน ในเวลากลางคืนจะเป็นแสงไฟสว่างที่เห็นได้จากระยะไกล ซึ่งยังไม่ทราบว่าใช้วิธีใดในการจุดไฟและส่องแสง บ้างก็สันนิษฐานว่าใช้กระจกในการส่องแสง บ้างก็เชื่อว่า สามารถส่องแสงได้ถึง 4 ทาง แต่บางส่วนก็เชื่อว่า ส่องแสงได้เพียงแค่ 2 ทางเท่านั้น ประภาคารฟาโรสแห่งอเล็กซานเดรีย มีอายุอยู่ได้ยาวนานถึง 1,600 ปี จนกระทั่งในประมาณศตวรรษที่ 13-14 เกิดแผ่นดินไหวทำให้ประภาคารพังลงมา ในปี ค.ศ. 1994 นักโบราณคดีได้ดำน้ำสำรวจบริเวณปากอ่าวอเล็กซานเดรีย พบหลักฐานของสิ่งที่เชื่อว่าเป็นซากชิ้นส่วนของประภาคารฟาโรสแห่งอเล็กซานเดรีย ซึ่งบางส่วนเป็นหินที่หนักถึง 70 ตันและเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ














































วันจันทร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

เทพีอาธีน่าหนึ่งในสิบสองเทพแห่งโอลิมปัส



เทพีอะธีนา หรือ อาเธน่า (Athena) เป็นหนึ่งในสิบสองเทพแห่งโอลิมปัส ได้รับสมญานามว่าเทพีแห่งปัญญา เนื่องจากเกิดมาจากส่วนหัวของ ซุส ประมุขแห่งเหล่าทวยเทพ นอกจากนี้ยังได้รับสมญานามเป็น เทพีแห่งสงคราม เทพีแห่งงานหัตถกรรม (โดยเฉพาะงานทอผ้า ปั้นหม้อ และงานไม้) อีกด้วย





 การถือกำเนิดของอาเธน่านั้น กล่าวกันว่า ครั้งหนึ่ง เทพซุส ได้รับคำทำนายว่า โอรสธิดา ที่ประสูติจากมเหสีเจ้าปัญญา นามมีทิส (Metis) นั้นจะ มาโค่นบัลลังก์ของพระองค์ เทพซุส ก็แก้ปัญหาด้วยการจับเอามีทิส ซึ่งทรงตั้งครรภ์แก่นั้นกลืนเข้าไปในท้อง แต่เวลาไม่นานนักซุสก็บังเกิดอาการปวดเศียรขึ้นมา ให้รู้สีกปวดร้าวเป็นกำลัง จึงมีเทวโองการสั่งให้เรียกประชุมเทพทั้งปวงบนเขาโอลิมปัส ให้ช่วยกันหาทางบำบัดเยียวยา แต่ความพยายามของทวยเทพก็ไม่เป็นผล ซุสไม่อาจทนความเจ็บปวดต่อไปได้ ในที่สุดจึงได้ให้เฮฟเฟสตุส เทพแห่งการตีเหล็ก ใช้ขวานผ่าศีรษะออก ปรากฏเป็นอาเธน่ากระโดดออกมาในลักษณะเจริญเต็มวัย แต่งฉลององค์หุ้มเกราะแวววาวพร้อมสรรพ ถือหอกเป็นอาวุธ พร้อมกันนั้นทั่วพื้นพสุธาและมหาสมุทร ก็บังเกิดอาการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น ประกาศกำเนิดเทวีองค์นี้สนั่นไปทั้งโลก
การอุบัติของเทวีองค์นี้ถือว่าเป็นไปเพื่อยังสันติสุข ให้บังเกิดในโลกและขจัดความโฉดเขลาที่ครองโลก จนตราบเท่าบัดนั้นให้สิ้นไป ด้วยว่าพออาเธน่าผุดจากเศียรซุส เทวีแห่งความโฉดเขลาซึ่งไม่ปรากฏรูปก็ล่าหนีไป ด้วยเหตุนี้เทวีอาเธน่าจึงเป็นที่นับถือบูชาในฐานะเทวีครองปัญญา นอกจากนั้นอาเธน่ายังมีฝีมือในการเย็บปักถักร้อย และ เชื่อว่าพระนางเป็นเทพีแห่งสงครามด้วย เนื่องจากเทวรูปของพระนาง มักปรากฏเป็นรูปผู้หญิงสวมชุดเกราะ ถือโล่ห์ และหอกที่มือซ้าย พร้อมถือ เทพีไนกี้ เทพีแห่งชัยชนะที่มือขวา







ภายหลังการอุบัติของอาเธน่าไม่นาน มีหัวหน้าชนชาวฟีนิเชียคนหนึ่งชื่อว่า ซีครอบส์ (Cecrop) พาบริวารอพยพเข้าไปในประเทศกรีซ เลือกได้ชัยภูมิอันตระการตาแห่งหนึ่งในแคว้น อัตติกะ (Attica) ตั้งภูมิลำเนา ก่อสร้างบ้านเรือนขึ้นเป็นนครอันสวยงามนครหนึ่ง เทพทั้งปวงเฝ้าดูงานสร้างเมืองนี้ด้วยความเลื่อมใสยิ่ง ในที่สุดเมื่อเห็นว่า เมืองมีเค้าจะกลายเป็นนครอันน่าอยู่ขึ้นมาแล้ว เทพแต่ละองค์ต่างก็แสดงความปรารถนา ใคร่จะได้เอกสิทธิ์ตั้งชื่อนคร จึงประชุมกันถกถึงเรื่องนี้ เมื่อมีการอภิปรายโต้แย้งกันพอสมควรแล้ว เทพส่วนใหญ่ในที่ประชุมก็พากันยอมสละสิทธิ์ คงเหลือแต่ เทพโปเซดอน และเทวีอาเธน่า 2 องค์เท่านั้นยังแก่งแย่งกันอยู่






เพื่อยุติปัญหาว่าใครควรจะได้เอกสิทธิ์ตั้งชื่อนคร เทพซุส ไม่พึงประสงค์จะชี้ขาดโดยอำนาจตุลาการที่จะพึงใช้ได้ ด้วยเกรงว่าจะเป็นที่ครหาว่าเข้า ข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง จึงมีเทวโองการว่านครนั้น พึงอยู่ในความคุ้มครอง ของเทพ หรือเทวี ซึ่งสามารถเนรมิตของที่มีประโยชน์ที่สุดให้มนุษย์ใช้ได้ และมอบหน้าที่ตัดสินชี้ขาดให้แก่ที่ประชุม  เทพโปเซดอน เป็นฝ่ายเนรมิตก่อน โดยยกตรีศูลคู่หัตถ์ขึ้นกระแทกลงกับพื้น บันดาลให้มีม้าตัวหนึ่งผุดขึ้นท่ามกลางเสียงแสดงความพิศวง และชื่นชมของเหล่าเทพ เมื่อเทพผู้เนรมิตม้า อธิบายคุณประโยชน์ของม้า ให้เป็นที่ตระหนักแก่เทพทั้งปวงแล้ว เทพองค์ต่างๆ ก็คิดเห็นว่า เทวีอาเธน่าคงไม่สามารถเอาชนะ เทพโปเซดอนเสียเป็นแน่แล้ว ส่วนฝ่าย เทวีอาเธน่า ก็ได้เนรมิตต้นมะกอกต้นหนึ่งขึ้นมา และได้อธิบายถึงคุณประโยชน์ ของต้นมะกอก ที่มนุษย์จะเอาไปใช้ได้นานัปการ นับตั้งแต่ใช้เนื้อไม้ ผล กิ่งก้าน ไปจนถึงใบ พร้อมกับยังมีความหมายเชิงสัญลักษณ์ของมะกอกว่า เป็นเครื่องหมายถึงสันติภาพและความรุ่งเรืองวัฒนาอีกด้วย เมื่อผลเป็นดังนั้นจึงเป็นที่พึงประสงค์ ยิ่งกว่าม้า ซึ่งเป็นเครื่องหมายของสงคราม หลังจากพิจารณาแล้ว มวลเทพก็เห็นพ้องต้องกันว่า ของที่เทพีอาเธน่าเนรมิต มีประโยชน์กว่า จึงลงมติตัดสินชี้ขาดให้เป็นฝ่ายชนะ


 

 เพื่อเป็นเครื่องระลึกถึงชัยชนะครังนี้ เทพีอาเธน่าได้ตั้งชื่อนครนั้น ตามนามของท่านเองว่า เอเธนส์ (Athens ) และสืบจากนั้นมา ชาวกรุงเอเธนส์ ก็นับถือบูชาท่านในฐานะเทวีผู้ปกครองนครอย่างแน่นแฟ้นโดยรวมๆ แล้ว อาเธน่าเป็นเทพธิดาที่มีจิตใจเอื้ออารีชอบช่วยเหลือผู้อื่นมาก ในมหากาพย์อีเลียด ที่ว่าด้วยสงคราม แห่งชาวกรีก และ ชาวเมืองทรอย อาเธน่า ก็มีบทบาทในการช่วยวีรบุรุษกรีกหลายครั้ง เช่น หลอกเฮกเตอร์ว่าจะคอยช่วย และให้มาสู้กับอคิลลิส ทำให้เฮกเตอร์ถูกอคิลลิสสังหารอย่างโหดเหี้ยมในสนามรบ เป็นต้น   และในมหากาพย์โอดิสซีที่กล่าวถึงการเดินทางกลับบ้านที่อิธาก้าของ โอดิสซีอุส หรือ ยูลิซีส วีรบุรุษกรีก ผู้คิดสร้างม้าไม้ ซึ่งเป็นผู้ทำให้สงครามเมืองทรอยสิ้นสุดลง ต้องใช้เวลาในการเดินทางกลับบ้านเป็นเวลาถึงยี่สิบปี เพราะเขาไปทำให้โปเซดอนพิโรธ อาเธน่าก็เป็นเทพีอุปถัมภ์ของโอดิสซีอุส ช่วยให้เขาพ้นภัยหลายครั้งจนกลับถึงบ้านได้



 


อาเธน่ายังมีบทบาทมากมาย โลดแล่นในตำนานการผจญภัยของวีรบุรุษอีกหลายคน เช่น
  • ช่วยให้การแนะนำในการต่อเรืออาร์โกที่ใช้ในการตามหาขนแกะทองคำ โดยถ่ายทอดคำพูด ผ่านกิ่งของต้นโอ๊คศักดิ์สิทธิ์ ที่นำมาทำเป็นหัวเรือ
  • บอกวิธีสังหารเมดูซ่าแก่เปอร์ซีอุส
  • ช่วยเอเปอีอุสสร้างม้าไม้
  • มอบบังเหียนวิเศษเพื่อใช้ควบคุมเพกาซัสแด่เบลเลโรฟอน
    ฯลฯ
เทพธิดาที่แสนดีก็พร้อมจะโหดได้ หากมีใครไปหยามเข้า เช่น เรื่องของนางอาแรคนี (Arachne) ซึ่งมีฝีมือทอผ้า และปั่นด้ายเป็นเลิศ ด้วยความลุ่มหลงทะนงตนสำคัญว่าไม่มีผู้ใดอีกแล้ว จะมีฝีมือเสมอกับนาง ในที่สุดจึงกำเริบคุยฟุ้งเฟื่องไปว่า ถึงแม้เทพีเอเธน่าจะลงมาประกวดฝีมือกับนาง นางก็ยินดีจะสู้ด้วยไม่รอช้าเลย นางโอ้อวดดังนี้เนือง ๆ จนเทพีเอเธน่าสุดแสนจะทนต่อไปได้ ต้องลงมาจากเขาโอลิมปัส เพื่อมาลงโทษนางอาแรคนีมิให้ใครเอาไปเป็นเยี่ยงอย่างสืบไป โดย เทพีอาเธน่าจำแลงองค์เป็นยายแก่ เดินเข้าไปในบ้านของนางอาแรคนี และนั่งลงชวนคุย นางอาแรคน ก็ได้คุยถึงฝีมือตน และเริ่มโวเรื่องจะแข่งขัน ประกวดฝีมือกับเทพีเอเธน่าอีก เทพีอาเธน่าตักเตือนโดยให้นางยับยั้งคำไว้เสียบ้าง กลัวว่าคำของนางซึ่งพูดเอาเองเป็นเหตุให้เทพเจ้าขัดเคือง จะทำให้นางเคราะห์ร้าย แต่นางอาแรคนีมีจิตมืดมนไปในความทรนงตนเสียแล้ว จนไม่แยแสต่อคำตักเตือน กลับพูดสำทับว่า นางอยากให้เทพีอาเธน่าได้ยิน และลงมาท้าประกวดฝีมือเสียด้วยซ้ำ นางจะได้แสดงความสามารถให้เป็นที่ประจักษ์เพื่อพิสูจน์ว่า คำกล่าวอ้างของนางเป็นความจริงเพียงใด ในที่สุดเทพีอาเธน่าก็สำแดงองค์ให้ปรากฏแก่อาแรคนี ตามจริง และรับคำท้านั้นทันที ในที่สุดอาแรคนี ก็แพ้แก่เทพีอาเธน่า และได้เสียใจยิ่งนัก ทั้งเจ็บทั้งอาย ในความผิดพลาดของตนไม่อาจทนอยู่ได้ หมายจะเอาเชือกผูกคอตาย เทพีเอเธน่าเห็นนางจะด่วนหนีโทษทัณฑ์ไป จึงรีบแปรเปลี่ยนร่างของนางให้กลายเป็นแมงมุม ห้อยโหนโตงเตง และสาปให้นางต้องปั่น และ ทอใยเรื่อยไปไม่มีเวลาหยุด เป็นการเตือนมนุษย์ ผู้ทรนงทั้งปวง มิให้หลงไปว่าตนจะเทียมเทพได้เป็นอันขาด




เกี่ยวกับการครองความบริสุทธิ์ของเทพีอาเธน่า มีเรื่องเล่าว่า เทพฮีฟีสทัส     หมายปองเทพีอาเธน่า ใคร่จะได้วิวาห์ด้วย ได้ทูลขอต่อเทพบิดา เทพบิดาประทานโปรดอนุญาต     แต่ให้    ฮีฟีทัสทาบทามความสมัครใจของเทพีอาเธน่าเอาเอง ซึ่งผลลัพธ์ก็คือ เทพีอาเธน่าไม่ตกลงด้วย ทำให้ ฮีฟีทัส เข้าไปหาเทพีอาธีนาหมายจะรวบรัด  ในระหว่างที่ฉุกละหุกอุตลุดนั้นของไม่บริสุทธิ์ของฮีฟีทัส ตกลงมายังพื้นโลก เป็นเหตุให้เกิดทารก ผุดขึ้นมาเป็นเพศชาย เทพีอาเธน่ารอดพ้นมลทินแปดเปื้อน แต่รับทารกไว้ในปกครอง เอาทารกบรรจุหีบให้งูเฝ้า และฝากไว้ให้ลูกสาวท้าวซีครอปส์ดูแล โดยห้ามเด็ดขาด มิให้เปิดหีบดู แต่ลูกสาวท้าวซีครอปส์ไม่เชื่อฟัง พยายามจะเปิดหีบ ครั้นเห็นงูเข้าก็ตกใจวิ่งหนีตกเขาตาย ทารกนั้นได้ขนานนามว่า อิริคโธเนียส (Erichthonius) และ ดำรงชีวิตอยู่สืบมา จนภายหลังได้ครองกรุงเอเธนส์ ส่วนเทพีอาเธน่าก็ไม่ได้รับการเกี้ยวพาราสี ของเทพองค์หนึ่งองค์ใดอีกต่อไปตั้งแต่บัดนั้น





แม้ว่าจะมีบางตำนานกล่าวว่า อาเธน่าเคยแอบรักบุรุษรูปงามคนหนึ่งชื่อว่า เบลเลอโรฟอน จนถึงกับเอาอานม้าทองคำมาให้เขาในความฝัน เนื่องจากเบลเลอโรฟอนต้องการขี่ม้าวิเศษ เปกาซัส แต่ไม่ปรากฏว่าเทพีอาเธน่าได้สานเรื่องราวระหว่าง เทพีอาเธน่า กับเบลเลอโรฟอนต่อไปแต่อย่างใด แต่ทว่าบุรุษหนุ่มผู้นั้นตกม้าตายในตอนหลัง เทวีอาเธน่ามีต้นโอลีฟเป็นพฤกษาประจำตัว และนกฮูกเป็นนกคู่ใจ




เทพีอาเธน่านอกจากจะมีชื่ออาเธน่า หรือ มิเนอร์วาแล้ว ชาวกรีกและโรมันยังรู้จักกันในชื่ออื่น ๆ อีกหลายชื่อ ในจำนวนนี้มีชื่อที่แพร่หลายที่สุดคือ พัลลัส (Pallas) จนบางที เรียกควบกับชื่อเดิมว่า พัลลัสอาเธน่า ว่ากันว่ามูลเหตุของชื่อนี้สืบเนื่องมาจากพฤติกรรมตอนปราบยักษ์ชื่อ พัลลัส ซึ่งไม่ปรากฏตำนานชัดแจ้ง อาศัยเหตุที่ได้ถลก หนังยักษ์มาคลุมองค์ คนทั้งหลายเลยพลอยเรียกในชื่อของยักษ์นั้นด้วย และเรียกรูปประติมา หรือ อนุสาวรีย์ อันเป็นเครื่องหมายถึงเทพีอาเธน่า ว่า พัลเลเดียม (Palladium) ในที่สุดคำว่า Palladium ก็มีที่ใช้ใน ภาษาอังกฤษ หมายถึง ภาวะ หรือ ปัจจัยที่อำนวยความคุ้มครอง หรือ ความปลอดภัยให้เกิดแก่ชุมชน ทำนอง Palladium ที่ชาวโรมัน อารักขาไว้ในวิหารเวสตา






















ฉันเป็นคนยุค Post modern




ความคิดหลังสมัยใหม่ Postmodern
นักคิดหลังสมัยใหม่ ปฏิเสธเรื่องสัจจะสมบูรณ์สูงสุดเป็นสากล โดยเห็นว่าเป็นเพียงการโอ้อวด แต่เสนอว่าไม่มีศูนย์กลางความเป็นหนึ่งเดียว และสังคมดำรงอยู่อย่างแตกต่างหลากหลาย (diversity) ความคิดและแนวคิดใดๆทั้งหมดเป็นเรื่องที่ได้รับการแสดงออกในรูปภาษาโดยที่ภาษาหรือการใช้ภาษาสื่อความหมายนั้นล้วนแล้วแต่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ทางอำนาจอันซับซ้อน ดังนั้นปรัชญาและทฤษฎีการเมืองจึงมิอาจอยู่เหนือ หรือตัดขาดจากความสัมพันธ์ทางอำนาจ เช่นกันกับมิอาจให้ความรู้ความเข้าใจได้ด้วยการเป็นกลางไม่โอนเอียง ทฤษฎีการเมืองหรือสัจจะหรือความรู้ใดๆเป็นส่วนหนึ่งโดยนัยของความสัมพันธ์ทางอำนาจที่นักวิชาการกำลังวิเคราะห์อยู่ นักคิดหลังสมัยใหม่จึงมีลักษณะตั้งข้อกังขาอย่างไม่ลดละต่อสภาพความเป็นจริงใดๆที่ดูหนักแน่นสมบูรณ์ และความเชื่อต่างๆที่พากันยึดถืออย่างไม่ลืมหูลืมตา


สิ่งสำคัญที่สุดที่ทำให้กล่าวกันว่าได้ก้าวเข้าสู่ยุคหลังสมัยใหม่ (postmodern era) คือความคิดที่ว่าสิ่งที่เป็นจริง (the real) กับสิ่งที่ปรากฏ (apparent) นั้นอาจไม่ใช่เรื่องเดียวกัน ซึ่งเป็นความคิดของฟรีดริช นิทซ์เชอ (Friedrich Wilhelm Nietzsche) ซึ่งความคิดดังกล่าวเข้าไปมีอิทธิพลในวงการศิลปะในช่วงทศวรรษที่ 1920 กล่าวได้ว่าแนวคิดหลังสมัยใหม่ (postmodern) คือการเคลื่อนไหวทางความคิดและวัฒนธรรมที่ต่อต้านนิยาม, ความเชื่อ, ค่านิยม, จารีต, ประเพณีฯลฯ อาทิองค์รวม (totality), ความเป็นเหตุเป็นผล (rationality), ความเป็นสากล(universality), ความเป็นวัตถุวิสัย (objectivity) ฯลฯ ซึ่งนักคิดหลังสมัยใหม่จะตั้งคำถามต่อสิ่งเหล่านี้ในฐานะที่ต่างเป็นเพียง “เรื่องเล่าหลัก (meta-narrative)” ที่เกิดขึ้นมาจากข้ออ้างของความเป็นสมัยใหม่ (modernity) ของแนวคิดสมัยใหม่ (modernism)



สรุปโดยรวม ยุคPost Modern คือแนวความคิดที่มาหลังจากยุค modern ซึ่งเป็นช่วงหลังการปฏิวัติอุตสาหกรรม ที่อะไรต่างๆถูกกำหนดอยู่ในหลักเกณฑ์และทฤษฏี แต่ยุค postmodern เป็นยุคที่ปฏิเสธสิ่งเดิมๆในยุคmodern โดยเน้นเสรีภาพและอิสระของบุคคล ไม่เชื่อในโลกของความจริง ไม่เชื่อเรื่องความเป็นสากล เพราะเชื่อว่าแต่ละคนแต่ละวัฒนธรรมนั้นมีเหตุผลของตัวเอง ไม่ควรจะให้ใครมาตัดสินว่าอันไหนสิ่งใดดีที่สุด แล้วคิดว่าสิ่งนั้นต้องดีสำหรับคนอื่นด้วย ดังนั้นจึงไม่คิดว่าสังคมที่คิดว่าเป็นสากลนั้นไม่มีจริง